วันจันทร์ที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

พูพอน



พูพอน
(BUTTRESS)



            ในป่าจะมีรากของต้นไม้อยู่เต็มไปหมดบนผิวดินเพื่อหาอาหารและน้ำมาเลี้ยงล้าต้น เนื่องจากดินในป่าดิบมักมีชั้นดินตื้น น้ำและแร่ธาตุที่พืชต้องการอยู่ในดินที่ไม่ลึกนัก รากพืชจึงแผ่ขยายเป็นแผ่นออกไปในแนวกว้างมากกว่าแนวลึก เรียกว่า พูพอน ซึ่งเป็นระบบรากต้นไม้ใหญ่ที่พัฒนาตัวเองเสมือนท้านบกั้นน้ำและเพื่อค้ำจุนต้น โดยแผ่รัศมีเป็นแนวยาวขวางแนวทางน้ำสามารถเก็บกักน้ำไว้ได้ชั่วระยะเวลาหนึ่งเป็นการชะลอการไหลของน้ำป่า

จำแนกตามกำเนิด  จะจำแนกออกได้เป็น  3  ชนิด คือ
1. primary  root  เป็นรากที่มีกำเนิดและเจริญเติบโตมาจาก radicle รากชนิดนี้ตอนโคนจะโตแล้วค่อย ๆ เรียวเล็กลงเรื่อยๆจนถึงปลายซึ่งก็คือ รากแก้ว ( tap root )นั่นเอง





2.  secondary  root เป็นรากที่มีกำเนิดและเจริญเติบโตออกมาจาก primary root อีกทีหนึ่ง  เป็นรากที่เรียกกันทั่วๆไปว่า รากแขนง ( lateral root ) และแขนงต่างๆที่แยกออกไปเป็นทอดๆนั้นต่างมีกำเนิดมาจากเนื้อเยื่อ pericycleในรากเดิมทั้งสิ้น



3.  adventitious root รากพิเศษ หรือ รากวิสามัญ เป็นรากที่ไม่ได้มีกำเนิดมาจาก radicle และก็ไม่เป็นแขนงของprimary root  จำแนกเป็นชนิดย่อยๆลงไปอีกตามรูปร่างและหน้าที่ของมัน  คือ
3.1 รากฝอย ( fibrous root ) เป็นรากเส้นเล็กๆมากมายขนาดสม่ำเสมอตลอดความยาวของราก งอกออกจากรอบๆโคนต้นแทนรากแก้วที่ฝ่อไป  พบในพืชใบเลี้ยงเดี่ยวเป็นส่วนใหญ่  เช่น  รากข้าว  ข้าวโพด  หญ้า  หมาก  มะพร้าว  ตาล  กระชายและพบในพืชใบเลี้ยงคู่บางชนิด เช่น  รากต้อยติ่ง  มันเทศ  มันแกว


3.2  รากค้ำจุน ( prop root ) เป็นรากที่แตกออกจากข้อของลำต้นที่อยู่ใต้ดินและเหนือดินเล็กน้อย แล้วพุ่งทะแยงลงไปในดินเพื่อช่วยพยุงและค้ำจุนลำต้น ได้แก่ รากเตย  ลำเจียก  ข้าวโพด  ยางอินเดีย  โกงกาง  และไทรย้อย  เป็นต้น



3.3  รากสังเคราะห์แสง ( photosynthetic root ) เป็นรากที่แตกออกจากข้อของลำต้นหรือกิ่งแล้วห้อยลงมาในอากาศ มีสีเขียวของคลอโรฟิลล์จึงสังเคราะห์แสงได้ ได้แก่  รากกล้วยไม้  ไทร  โกงกาง ซึ่งจะมีสีเขียวเฉพาะตรงที่ห้อยอยู่ในอากาศเท่านั้น  รากกล้วยไม้นอกจากจะมีสีเขียวและช่วยในการสังเคราะห์แสงแล้ว  พบว่ามีเยื่อพิเศษลักษณะนุ่มคล้ายฟองน้ำ เป็นเซลล์พวกพาเรงคิมาเรียงตัวกันอย่างหลวมๆ โดยมีช่องว่างระหว่างเซลล์มากเรียก นวม ( velamen ) หุ้มอยู่ตามขอบนอกของรากช่วยดูดน้ำ  รักษาความชื้นให้แก่ราก ตลอดทั้งช่วยในการหายใจด้วย


3.4  รากหายใจ ( respiratory root  or  aerating root ) เป็นรากที่ชูปลายรากขึ้นมาเหนือพื้นดินบางทีก็ลอยตามผิวน้ำ เพื่อช่วยในการหายใจได้มากเป็นพิเศษกว่ารากปกติทั่วๆไป  ทั้งนี้เพราะโครงสร้างของราก ประกอบด้วย เซลล์พาเรงคิมาซึ่งเรียงตัวอย่างหลวมๆ มีช่องว่างระหว่างเซลล์มาก ทำให้อากาศผ่านเข้าสู่เซลล์ชั้นในของรากได้ง่าย รากเหล่านี้ อาจเรียกว่า รากทุ่นลอย ( pneumatophore )  ได้แก่  ลำพู  แสม  โกงกาง  แพงพวยน้ำ  และผักกระเฉด เป็นต้น


3.5 รากเกาะ ( climbing root ) เป็นรากที่แตกออกมาจากส่วนข้อของลำต้น แล้วเกาะติดกับสิ่งยึดเกาะ เช่นเสาหรือหลักเพื่อพยุงลำต้นให้ติดแน่นและชูส่วนของลำต้นให้สูงขึ้นไป และให้ส่วนต่างๆของพืชได้รับแสงมากขึ้น ได้แก่  พลูพลูด่าง  พริกไทย  และกล้วยไม้ เป็นต้น


3.6  รากกาฝาก (parasitic root) เป็นรากของพืชที่ไปเกาะต้นพืชชนิดอื่น แล้วมีรากเล็กๆแตกออกมาเป็นกระจุกแทงลงไปในลำต้นจนถึงท่อลำเลียงเพื่อแย่งอาหาร ได้แก่ รากฝอยทอง  กาฝาก  เป็นต้น


3.7  รากสะสมอาหาร (storage root) ทำหน้าที่สะสมอาหารพวกแป้ง ไขมัน และโปรตีน เช่น  รากกระชายมันเทศ มันแกว มันสำปะหลัง เป็นต้น


3.8  รากหนาม ( root thorn ) เป็นรากที่มีลักษณะเป็นหนามงอกมาจากบริเวณโคนต้น  ตอนงอกใหม่ๆเป็นรากปกติแต่ต่อมาเกิดเปลือกแข็งทำให้มีลักษณะคล้ายหนามแข็ง ช่วยป้องกันโคนต้นได้ เช่น ปาล์ม

ทีมา :
https://sites.google.com/site/clickclickieie/chnid-khxng-rak
http://www.nana-bio.com/e-learning/plant%20organ/root03.html